You are currently viewing มุ่งสู่ Net Zero ด้วย Digital Transformation เพื่อเริ่มต้นสร้างคาร์บอนเครดิต

มุ่งสู่ Net Zero ด้วย Digital Transformation เพื่อเริ่มต้นสร้างคาร์บอนเครดิต

     รู้สึกไหมว่าอากาศร้อนขึ้นทุกปี ๆ แถมบางช่วงอากาศยังเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งหมดนี้หลัก ๆ เกิดจากปรากฏการณ์โลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก จนหลายประเทศเริ่มตั้งนโยบาย Net zero กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งนโยบาย Net zero นั้นทางภาครัฐของไทยก็เริ่มที่จะจริงจังมากยิ่งขึ้น โดยในปี 2564 ได้มีการกำหนดนโยบายภาคพลังงาน ซึ่งมุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด รวมถึงลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กลายเป็นศูนย์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า Net Zero Emission ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2608 – 2613 ดังนั้นภาคเอกชน องค์กรต่าง ๆ จึงควรเริ่มใส่ใจและอาจจะลองหาวิธีใหม่ ๆ ในการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจจะเริ่มด้วยการใช้ Digital Transformation เข้ามาช่วย ซึ่งก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะสามารถนำมาใช้แทนการทำงานในแบบเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมได้ นอกจากนี้สิ่งดี ๆ อีกอย่างที่จะได้รับหากทำได้สำเร็จก็คือ การลดต้นทุนค่าใช้จ่าย แถมยังสามารถสร้างเป็นคาร์บอนเครดิตที่กำลังมีมูลค่าอย่างมากในปัจจุบันได้เช่นกัน

https://www.greenpeace.org/thailand/story/20621/climate-renewable-energy-thailand-net-zero-emission-plan/

ตื่นตัวเรื่อง Net Zero พร้อมปรับองค์กรด้วย Digital Transformation

   เมื่อทั่วโลกตื่นตัว รวมถึงเริ่มทยอยมีกฎเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมออกมาให้เห็นเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเรื่องของการปรับสู่การเป็น Net Zero เนื่องจาก Net Zero นั้นถือเป็นมาตรการที่สามารถจัดการกับปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกประเทศ ทุกอุตสาหกรรมและทุก ๆ องค์กรจึงต้องร่วมมือกันในการลดก๊าซคาร์บอนที่เราผลิตออกสู่ชั้นบรรยากาศของโลก

   การตื่นตัวในเรื่อง Net Zero อาจจะเริ่มต้นได้ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ภายในองค์กรด้วยกระบวนการ Digital Transformation ซึ่งองค์กรสามารถนำเทคโนโลยีในยุคดิจิทัลต่าง ๆ เข้าช่วยในการทำงานและขับเคลื่อนประสิทธิผลขององค์กร ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือ การปรับเปลี่ยนจากระบบแอนะล็อกมาเป็นดิจิทัล โดยจากที่เคยต้องบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างลงในกระดาษ ไม่ว่าจะเขียนด้วยลายมือหรือจะพิมพ์ออกมา พอตอนนี้มีระบบจัดการเอกสารที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็น paperless ก็ถือเป็นหนึ่งในการใช้ Digital Transformation ได้อย่างทรงพลัง เพราะนอกจากจะลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์และการใช้กระดาษ รวมไปถึงค่าเสียเวลาในการจัดส่งเอกสารแล้ว Digital Transformation อย่างการใช้ระบบจัดการเอกสาร แบบ paperless ยังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมได้อีกด้วย โดยจากการวิจัยของ The World Counts พบว่าปริมาณขยะมากถึง 50% ที่เกิดจากการดำเนินการธุรกิจนั้น เกิดขึ้นจากกระดาษที่นำมาใช้ในองค์กร โดยเอกสารทั้งหมดที่ใช้ในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างองค์กร คู่ค้า และลูกค้า รวมไปถึงกระดาษที่ใช้ภายในองค์กรเช่น รายงาน ภาพประกอบ และกระดาษต่าง ๆ จะสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง และจากข้อมูลของ Mike Berners-Lee ยังพบอีกด้วยว่าอุตสาหกรรมที่ให้บริการทางการเงินของอังกฤษนั้นสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ราว ๆ 191 กรัม สำหรับเงินลงทุนทุก ๆ 40 บาท ( 1 ปอนด์) ที่ใช้ไปเลยทีเดียว

https://citywire.com/wealth-manager/news/can-going-digital-get-us-to-net-zero/a1584886

Digital Transformation และการสร้างคาร์บอนเครดิตเกี่ยวข้องกันอย่างไร

   หลังจากทราบกันแล้วว่าการลดการใช้กระดาษด้วยการทำ Digital Transformation และใช้ระบบจัดการเอกสารแบบ Paperless จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ แต่สิ่งที่ใหม่และน่าสนใจยิ่งขึ้นก็คือ การที่องค์กรสามารถสร้างคาร์บอนเครดิตจากการลดการใช้กระดาษและสร้างนโยบาย CSR อย่างจริงจัง แม้คาร์บอนเครดิตอาจจะไม่ใช่เรื่องที่เราคุ้นเคย แต่ปัจจุบันสำหรับประเทศไทยก็เริ่มตื่นตัวกันมากขึ้น เพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับ 26 ของโลก ในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมามากจนเป็นส่วนหนึ่งของมลพิษและภาวะเรือนกระจกที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน โดยประมาณการว่าไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาราว ๆ 256 ล้านตันต่อปี หรือ 1% ของทั้งโลกก็ว่าได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการกระตุ้นการจัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือ การสร้างคาร์บอนเครดิตนั่นเอง

   ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมามากมายทั่วโลกจนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนที่เราต้องตระหนักกัน นับวันก็มีแต่จะแย่ลง จนทำให้ต้องมีกฎและวิธีการจัดการเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งกลายเป็นที่มาของคาร์บอนเครดิต โดยจะมีการกำหนดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ซึ่งหากองค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ นอกจากจะช่วยลดภาวะเรือนกระจกแล้ว ยังได้สิ่งที่เรียกว่า ‘คาร์บอนเครดิต’ อีกด้วย โดยคาร์บอนเครดิตนั้นมีจุดประสงค์เพื่อลดก๊าซเรือนกระจก หรือก๊าซคาร์บอนที่มีการปล่อยออกมาจากองค์กรต่าง ๆ หน้าตาของมันจะอยู่ในรูปแบบของใบรับรอง (certificate) ซึ่งจะได้รับหากองค์กรนั้น ๆ สามารถลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกลง รวมถึงการปลูกต้นไม้เพิ่ม โดยผู้ที่กำกับดูแลในประเทศไทยก็คือ อบก. หรือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ซึ่งจะมีการวัดปริมาณและเปลี่ยนเป็นคาร์บอนเครดิต โดยสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดโลกได้ เนื่องจากมีองค์กรอีกหลายแห่งที่อาจจะต้องใช้คาร์บอนเครดิตมากเกินโควตาที่ตนเองได้รับ ดังนั้นบางองค์กรจึงจำเป็นจะต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากองค์กรที่มีเหลือนั่นเอง ตัวอย่างเช่น องค์กรหนึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งจะต้องทำการลดจำนวนคาร์บอนลงให้มีเครดิตเหลือ 0  จึงต้องมีการไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากองค์กรอื่นที่มีบนตลาดคาร์บอน เป็นเหมือนการซื้อโควตาในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกินออกมานั่นเอง (แต่ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด) ซึ่งตลาดคาร์บอนเครดิตนั้นโตไวมาก ๆ และคาดว่าจะโตถึง 15 เท่า ใน 10 ปีข้างหน้า ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าหากองค์กรของเราเริ่มลดการใช้กระดาษลง โดยเริ่มลงมือใช้ Digital Transformation และเลือกระบบจัดการเอกสารที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะสร้างคาร์บอนเครดิตให้องค์กรได้แล้ว โอกาสในการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง Net zero และดำเนินการตามแบบแผนของ CSR ที่องค์กรออกแบบไว้ก็เป็นจริงได้อย่างแน่นอน